โดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร
เกิดขึ้นจากที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2500 ล้มอำนาจเดิมของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แล้วได้มอบหมายให้ นายพจน์ สารสิน เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดการเลือกตั้ง มีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2501พลโทถนอม กิตติขจร จึงขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อมา
แต่ว่าการเมืองในรัฐสภาไม่สงบ
เนื่องจากบรรดา ส.ส. เรียกร้องเอาผลประโยชน์และมีการขู่ว่าหากไม่ได้ตามที่ร้องขอจะถอนตัวจากการสนับสนุนรัฐบาลเป็นต้น พล.ท.ถนอม กิตติขจร ก็ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้ พล.ท.ถนอม กิตติขจร จึงประกาศลาออกในเวลาเที่ยงของวันเดียวกัน
แต่ทว่ายังไม่ได้ประกาศให้แก่ประชาชนทราบโดยทั่วกัน จากนั้นจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศยึดอำนาจอีกครั้ง โดยอ้างถึงเหตุความมั่นคงของประเทศ
ซึ่งมีลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังคุกคาม
โดยมีคำสั่งคณะปฏิวัติให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475
แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ที่ใช้อยู่ขณะนั้น
ยุบสภา ยกเลิกสถาบันทางการเมือง
ลำดับเหตุการณ์
เมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ยึดอำนาจการปกครองโดยการรัฐประหารเมื่อ 16 กันยายน 2500 แล้วก็แต่งตั้งให้ นายพจน์ สารสิน
ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
นายพจน์เริ่มบทบาททางการเมืองจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วยการสนับสนุนของ จอมพล ป.
พิบูลสงคราม เมื่อปี 2490 และเข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในปี
2491 และต่อมาในปี 2492 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ระหว่างปี 2495 - 2500 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาและทำ
หน้าที่ผู้แทนประเทศไทยประจำองค์การสหประชาชาติ และในเดือนกรกฎาคม 2500 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาค
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO) จากภูมิหลังดังกล่าวที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสหรัฐ
เป็นข้องบ่งชี้ถึงการการสร้างความชอบธรรมเพื่อรับรองรัฐบาลที่เกิดจากการทำ
รัฐประหารในยุคสงครามเย็น
สำหรับการเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ของนายพจน์นั้น ภารกิจสำคัญคือการพยายามสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
เนื่องจากโลกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความเรียกร้องต้องการสร้างฐานกำลังของฝ่าย
"โลกเสรีภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา"
ขึ้นต่อต้านการแผ่ขยายอิทธิพลของโลกสังคมนิยมที่มีผู้นำ 2 กลุ่มคือ
"ม่านเหล็ก สหภาพโซเวียต" และ "ม่านไม่ไผ่
สาธารณรัฐประชาชนจีน"
ดังนั้นในวันที่ 15 ธันวาคม 2500 นายพจน์จึงประกาศยุบสภาแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป
ในครั้งนั้นมีพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรคสหภูมิ
ซึ่งสนับสนุนจอมพลสฤษดิ์โดยตรง กับพรรคประชาธิปัตย์ ลงชิงชัยกัน
ผลปรากฏว่าพรรคสหภูมิชนะการเลือกตั้งด้วยจำนวน ส.ส. มากที่สุด คือ 45 คน จาก 160 คน
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
เพราะไม่ได้เป็นเสียงข้างมากในสภา
จอมพลสฤษดิ์จึงพยายามรวบรวม ส.ส.
อิสระและ ส.ส. จากพรรคเล็กพรรคน้อยมารวมตัวกัน แล้วจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อ
พรรคชาติสังคม ที่มีจอมพลสฤษดิ์เป็นหัวหน้าพรรค โดยสนับสนุนให้ พล.ท.ถนอม กิตติขจร
เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 1 มกราคม 2501 และหลังจากนั้นจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งเป็นพลเอก
แต่แล้วรัฐบาลผสมที่แม้จะดูว่าพรรคชาติสังคมจะเป็นเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร
ทว่าเนื่องจากลักษณะ "มุ้งเล็กมุ้งน้อย" ในพรรครัฐบาลที่เกิดจาก
"กว้าน" ส.ส. จากพรรคอื่นๆ เข้ามาเป็นฐานเสียงในสภา
นำไปสู่การเมืองน้ำเน่าด้วยการต่อรองผลผลประโยชน์แลกกับการสนับสนุนรัฐบาล
เป็นเหตุให้การบริหารงานราชการแผ่นดินภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีพลเอกถนอม
เป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่ง
ขณะเดียวกัน
ปัญหาสำคัญสำหรับประเทศที่กำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรม
ที่กำลังพยายามพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม และการปรับปรุงกิจการสาธารณูปโภค
ทำให้รัฐบาลหารายได้ได้ไม่พอเพียงกับรายจ่าย ผนวกกับมี ส.ส.บางกลุ่มต้องการให้ไทยวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่กับสหรัฐอเมริกาจนออกนอก
หน้า ในขณะที่ ส.ส.ฝ่ายค้านก็พยายามเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
จากการกดดันในสภาดังกล่าว
นายกรัฐมนตรีพล.อ.ถนอม หรือที่มีการเรียนขานกันว่า
"รัฐบาลหุ่นเชิดของจอมพลสฤษดิ์" ก็รายงานเรื่องให้จอมพลสฤษดิ์ ซึ่งกำลังพักรักษาตัวหลังผ่าตัดม้าม
อยู่ที่โรงพยาบาลวอเตอร์รีด ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับทราบ
จนที่สุดจอมพลสฤษดิ์ก็ต้องเดินทางกลับเมืองไทยเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2501 ในเช้าวันที่ 20
ตุลาคม 2501 พล.อ.ถนอมประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
จากนั้นในเวลา 21.00 น. จอมพลสฤษดิ์ประกาศยึดอำนาจอีกครั้ง
โดยอ้างถึงเหตุความมั่นคงของประเทศ และภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีคำสั่ง
"คณะปฏิวัติ" ให้ ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475
แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ที่ใช้อยู่ขณะนั้น
ยุบสภา ยกเลิกและห้ามตั้งพรรคการเมือง มีการประกาศกฎอัยการศึก
ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คน
มีการจับกุมผู้ที่ต้องสงสัยว่าฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์
ที่ประกอบด้วยปัญญาชนฝ่ายก้าวหน้า ส.ส. บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ จำนวนมาก
เมื่อ ยกเลิกรัฐธรรมนูญแล้ว
โดยอาศัยคำสั่งคณะปฏิวัติ จอมพลสฤษดิ์ลงนามออกประกาศคณะปฏิวัติรวม 57 ฉบับระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2501
จนถึงการประกาศใช้ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502
ในวันที่ 28 มกราคม 2502 พร้อมทั้งจัดตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2502 ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจำนวน
240 คน
ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญกับให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ตนเอง
จัดทำขึ้น และให้มีฐานะเป็นรัฐสภาทำหน้าที่นิติบัญญัติอีกไปพร้อมกัน
โดยเปิดประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์
2502 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม มี พลเอกสุทธิ์ สุทธิสารรณกร
ได้รับเลือกจากสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประธานฯ
นอก
จากนั้นสภาร่างรัฐธรรมนูญยังทำหน้าที่ในการคัดเลือกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2502
โดยมีคณะรัฐมนตรีเพียง 14 นาย
ที่มีแต่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเท่านั้น
ซึ่งเท่ากับรวมศูนย์การใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปที่ตัวนายกรัฐมนตรี หรือ
"หัวหน้าคณะปฏิวัติ" นั่นเอง สำหรับรัฐมนตรีที่สำคัญ ได้แก่ พล.อ.ถนอม
กิตติขจร รองหัวหน้าคณะปฏิวัติ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พ.อ. (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, พล.ท.ประภาส
จารุเสถียร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พระบำราศนราดูร (หลง เวชชาชีวะ)
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรนี้
เปิดโอกาสรวมศูนย์การใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีนั่นเอง
ส่งผลให้จอม พลสฤษดิ์ ซึ่งแต่งตั้งตนเองเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ผู้บัญชาการทหารบก อธิบดีกรมตำรวจ สามารถใช้อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อย่างเต็มที่
ผ่านมาตรา 17 ด้วยการอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและช่วงนี้เอง
นายทหารคนหนึ่งเริ่มก้าวเข้าสู่วังวนของอำนาจทางการเมืองอย่างเงียบเชียบใน
ฐานะสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ นั่นคือ พันเอกเปรม ติณสูลานนท์
รองผู้บัญชาการโรงเรียนยานเกราะ กองทัพบก.
ที่มา
http://talk.mthai.com/topic/79299
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น