วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

รัฐประหารครั้งที่ 8 : 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514

รัฐประหารครั้งที่ 8 วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514
นำโดย จอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
สาเหตุ
เป็นการรัฐประหารอีกครั้งในประเทศไทย ที่เป็นการ ยึดอำนาจตัวเอง สาเหตุสืบเนื่องจากการที่สมาชิกพรรคสหประชาไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2512 นำโดย นายญวง เอี่ยมศิลา ส.ส.จังหวัดอุดรธานี ได้เรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนต่าง ๆ ตามที่จอมพลถนอมได้เคยสัญญาไว้ในช่วงเลือกตั้ง เมื่อไม่ได้รับการตอบแทนดังที่สัญญาไว้ ส.ส.เหล่านี้ได้ต่างพากันเรียกร้องต่าง ๆ นานา บ้างก็ขู่ว่าจะลาออก เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้ จอมพลถนอม หัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับฉายาสมัยนั้นว่า “นายกฯคนซื่อ” ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ในสภาฯ ได้ จึงทำการยึดอำนาจตนเองขึ้น โดยไม่มีชื่อเรียกคณะรัฐประหารในครั้งนี้โดยเฉพาะเหมือนการรัฐประหารที่เคยมีมาในอดีต แต่เรียกตัวเองเพียงแค่ว่า คณะปฏิวัติ
สถานการณ์รัฐประหาร วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.. 2514
รัฐประหารวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.. 2514 เป็นการรัฐประหารอีกครั้งในประเทศไทย ที่เป็นการยึดอำนาจตัวเอง เหมือนรัฐประหาร พ.. 2494 ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยการเกิดการรัฐประหารในครั้งนี้ มีสาเหตุสืบเนื่องจากการที่สมาชิกพรรคสหประชาไทยของจอมพลถนอมกิตติขจร นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งในปี พ.. 2512 ได้เรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนต่าง ๆตามที่จอมพลถนอม กิตติขจรได้เคยสัญญาไว้ในช่วงเลือกตั้ง เมื่อไม่ได้รับการตอบแทนดังที่สัญญาไว้ส..เหล่านี้ได้ต่างพากันเรียกร้องต่าง ๆ นานา บ้างก็ขู่ว่าจะลาออก เป็ นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็ นเหตุให้จอมพลถนอม กิตติขจร หัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับฉายาสมัยนั้นว่านายกฯคนซื่อไม่อาจควบคุมสถานการณ์ในสภาฯ ได้ จึงทำการยึดอำนาจตนเองขึ้น โดยไม่มีชื่อเรียกคณะรัฐประหารในครั้งนี้โดยเฉพาะเหมือนการรัฐประหารที่เคยมีมาในอดีต แต่เรียกตัวเองเพียงแค่ว่า คณะปฏิวัติโดยมีคำปรารภในการยึดอำนาจตัวเองครั้งนี้ว่าภัยที่คุกคามประเทศและราชบัลลังก์ สถานการณ์ภายใน ความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกสภานิติบัญญัติ การนัดหยุดงานของกรรมกร การเดินขบวนของนักศึกษา การแก้ไขสถานการณ์ถ้าจะดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญย่อมไม่ทันต่อเหตุการณ์ จึงจำเป็นต้องใช้การยึดอำนาจการปกครองเพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้โดยเฉียบขาดและฉับพลัน
จากนั้นคำสั่งของคณะรัฐประหารได้สั่งให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี พ.. 2511 ที่ใช้อยู่ก่อนหน้านั้น และยกเลิกรัฐสภา ยกเลิกพรรคการเมืองและประกาศห้ามมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
คณะปฏิวัติได้ครองอำนาจมาถึงวันที่ 15 ธันวาคม พ.. 2515 จึงประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.. 2515 ให้ข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้และตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติให้จอมพลถนอม กิตติขจรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งในธรรมนูญการปกครองฯ ฉบับนี้มีการนำเอารัฐธรรมนูญมาตรา 17 กลับมาใช้อีกครั้งเหมือนยุคของจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเต็มที่ในการสั่งการใด ๆ อันเนื่องจากเหตุที่กระทบต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของสภาฯ หรือ มีกฎหมายฉบับใด ๆ มารองรับ
จอมพลถนอม กิตติขจร ได้รวบอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว ท่ามกลางความไม่พอใจของนิสิตนักศึกษาและประชาชนโดยทั่วไป ที่ไม่มีรัฐธรรมนูญการปกครองอย่างถาวรมาตั้งแต่การยึดอำนาจของจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ในปี พ.. 2501 แล้ว ซึ่งกว่าที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.. 2511 ที่ถูกยกเลิกไปในการรัฐประหารก็ต้องใช้เวลาร่างนานถึง 10 ปี ประกอบกับเหตุการณ์ทุจริตต่าง ๆ ในรัฐบาล ก็กลายเป็นการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.. 2516 ในอีก 2 ปี ต่อมา

ซึ่งหลังจากการรัฐประหารไม่นาน นายอุทัย พิมพ์ใจชน ส..จังหวัดชลบุรี ของพรรคประชาธิปัตย์พร้อมด้วย ส.. อีก 2 คน จังหวัดชัยภูมิ พรรคเดียวกัน คือ นายอนันต์ ภักด์ิประไพและนายบุญเกิด หิรัญคำ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาให้ดำเนินคดีต่อคณะปฏิวัติในข้อหากบฏต่อแผ่นดิน ถือเป็นท้าทายอำนาจของผู้มีอำนาจอย่างตรงไปตรงมา แต่แล้วศาลได้ตีความ และทำให้ทั้งสามคนตกเป็นจำเลย และสั่งให้จำคุกเป็นเวลา 10 ปี แต่ทั้งหมดได้ถูกปล่อยตัวก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา ไม่นาน







ที่มา 
http://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2554/poli20954sn_ch4.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น